นักเศรษฐศาสตร์ ชี้การเมืองป่วน ฉุดเชื่อมั่นลงทุน ชี้โครงสร้างเศรษฐกิจเรื่องใหญ่ กดดันจีดีพีปีนี้เหลือ 2.5% ลุ้นแบงก์ชาติหั่นดอกเบี้ย 1 ครั้ง
นายสมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศเวลานี้ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางด้านเศรษฐกิจได้ ถ้าการเมืองเปลี่ยนไปนำไปสู่นโยบายเปลี่ยนแปลง รวมทั้งยังมีความไม่แน่นอนจากภายนอกประเทศ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุน สะท้อนจากมีเงินไหลออกไปต่างประเทศและตลาดหุ้นลดลง
“การเมืองทำให้นโยบายเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน และกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทำให้ตอนนี้มีเงินไหลออกและตลาดหุ้นไทยลดลง สะท้อนถึงมุมมองที่ว่าเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งนักลงทุนได้เลือกหนีไปลงทุนในประเทศที่มีความแน่นอนกว่า”
นอกจากนี้ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 67 หรือจีดีพีไทยใหม่ จากคาดว่าจะขยายตัว 2.7% เหลือ 2.5% เนื่องจากมีปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เป็นเรื่องใหญ่ และยังต้องการกระตุ้นระยะสั้น รวมทั้งคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้ง 0.25% ในช่วงปลายปีนี้ เหลือ 2.25% และอีก 1 ครั้ง 0.25% ในต้นปี 68 ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 2% ส่วนในปี 68 เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวต่อเนื่องที่ 2.9%
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแรงส่งจากภาคบริการตามการฟื้นตัวได้ดีของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จากการออกมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มเติม ทั้งมาตรการฟรีวีซ่า รวมถึงการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน และการท่องเที่ยวในประเทศยังเติบโตดี โดยจังหวัดเมืองรองมีแนวโน้มได้รับความสนใจมากขึ้นจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ
ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังมีแรงกดดันจากการส่งออกสินค้าที่จะขยายตัวจำกัดส่วนหนึ่งเพราะการส่งออกไทยเริ่มฟื้นตัวไม่สอดคล้องกับปริมาณการค้าโลกมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเหล็ก ผลไม้ และฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟที่จะหดตัวในปีนี้,ภาคการผลิตที่จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีแรงกดดันทั้งปัจจัยภายนอกจากสินค้าจีนที่เข้ามาตีตลาด
รวมถึงปัจจัยภายในจากอุปสงค์ในประเทศที่เริ่มมีสัญญาณแผ่วลง และการลงทุนภาครัฐที่แม้จะกลับมาเร่งตัวจากการเร่งรัดเบิกจ่ายหลัง พ.ร.บ.งบประมาณปี 67 ล่าช้ากว่าครึ่งปี แต่จะไม่สามารถชดเชยการหดตัวรุนแรงในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ได้
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยเจอความเปราะบางมากขึ้นทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ โดยภาคครัวเรือน กลุ่มคนรายได้น้อยขาดกันชนทางการเงินที่เพียงพอในระยะข้างหน้า เช่น เงินสำรองฉุกเฉินและประกันความเสี่ยงรูปแบบต่าง ๆ ด้านกลุ่มภาคธุรกิจ แม้โดยรวมมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่บางกลุ่มยังเปราะบางค่อนข้างมาก โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่มีหนี้สูงมากขึ้น ท่ามกลางปัญหาโครงสร้างของภาคการผลิตไทย ประเมินว่า แม้จะมีมาตรการการเงินเน้นช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางภาคครัวเรือนและธุรกิจมากขึ้น แต่ยังต้องใช้เวลากว่ามาตรการจะเห็นผลในวงกว้าง
นายสมประวิณ กล่าวว่า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์จะสร้างความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นในโลก และยิ่งเร่งโลกแบ่งขั้ว แต่จะเป็นโอกาสของภาคอุตสาหกรรมไทยได้ ประเมินว่า รูปแบบการค้าโลกกำลังจะเปลี่ยนไป เนื่องจากกลุ่มประเทศที่มีขั้วเศรษฐกิจต่างกันจะพึ่งพาการค้ากันลดลง และหันมาพึ่งพาประเทศที่มีบทบาทเป็นกลางมากขึ้น ประเทศไทยซึ่งรักษาบทบาทเป็นกลางในเกมภูมิรัฐศาสตร์โลกจะได้รับประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทางการค้าและการลงทุน กลุ่มประเทศที่แบ่งขั้วกันมากขึ้น