YLG ชี้ ทองคำก็เป็นขาขึ้น มีโอกาสแตะ 5 หมื่นบาท จี้รัฐ เร่งกวาดล้างกลุ่มสีเทาเพิ่มความเชื่อมั่นนักลงทุน
วันที่ 21 ส.ค. หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ และเดลินิวส์ออนไลน์ ได้จัดงานเสวนา “เดลินิวส์ ทอล์ก 2024” (Dailynews Talk 2024) ในหัวข้อ “THAILAND : FUTURE AND BEYOND… ก้าวต่อไปของประเทศไทย” ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567
น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวบนเวทีเสวนาในหัวข้อ “ฝ่าลมต้านเศรษฐกิจ…สู่การเติบโตที่ยั่งยืน” ว่า การลงทุนทองคำจริงๆ แล้วเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกและในเศรษฐกิจประเทศ โดยทั่วโลกตอนนี้มีความไม่แน่นอน ดังนั้นให้ระวังหลุมอากาศปัญหาในเรื่องความไม่มั่นคงและปัญหาระหว่างประเทศ ซึ่งเวลาที่มีเหตุการณ์เหล่านี้ ทองคำถูกมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะช่วงโควิดทองคำเข้ามามีบทบาทมากในช่วง 2-3 ปีนี้
แต่จริงๆ แล้ว หากย้อนกลับไป 10 ปีที่ผ่านมา ทองคำเป็นขาขึ้นมาตลอดแบบค่อยๆ ปรับขึ้น ซึ่งหากมองปี 2015 ยังเห็น 1,200-1,500 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ แต่มาขึ้นรุนแรงช่วงเกิดโควิด-19 จากนั้นเกิดสงครามระหว่างประเทศทองก็พุ่งขึ้นแรง และมีข่าวการเลือกตั้งสหรัฐที่จะต้องติดตาม แต่ไม่ว่าฝั่งไหนได้ทองคำจะปรับขึ้นอยู่ดี เพราะหากเป็น ทรัมป์ ที่ใช้นโยบายเดิม จะเห็นว่าหุ้นและทองคำขึ้นลงแรงในช่วงเสาร์อาทิตย์ และหากเป็นอีกฝั่งต้องติดตามว่าสามารถแก้ปัญหาสหรัฐได้หรือไม่
ทั้งนี้ ทองคำวันนี้กับอดีตจะเห็นว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้ว สหรัฐไม่ได้มีปัญหาเรื่องหนี้สาธารณะที่สูงมากมายขนาดนี้ แต่ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว และตัวเลขแรงงานยังไม่ฟื้นตัว จีดีพียังไม่ดูดีนักและเกิดปัญหาระหว่างประเทศจึงเชื่อว่าจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว ดังนั้นทองคำก็ยังน่าสนใจ เพราะหากเราแบ่งภาพเศรษฐกิจโลกเป็น 3 ภาพ ช่วงที่เศรษฐกิจเป็นขาลงตลาดไม่แน่นอน ก็จะเข้าซื้อทองคำ และช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวภาคอุตสาหกรรมให้ผลตอบแทนที่ดี ทองคำก็จะมีการซื้อเพื่อป้องกันเงินเฟ้อ แต่วันนี้เรามองว่าเศรษฐกิจยังไม่ดีไม่ฟื้นตัว ทองคำก็ยังเป็นที่น่าสนใจอยู่ และยังมองว่าการมีทองคำในพอร์ตก็เหมือนมีประกันไว้
ขณะเดียวกัน วันนี้คนไม่มั่นใจในสกุลเงินดอลลาร์โดยเริ่มเห็นชัดใน 1-2 ปี แต่เมื่อย้อนไปดูธนาคารกลางต่างๆ ที่เข้าซื้อทองคำในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นภาพการเข้าสะสมทองคำเพิ่มขึ้น ลดดอลลาร์น้อยลง หรือขายดอลลาร์ออกจากพอร์ตซื้อทองคำเพิ่มขึ้น และซื้อสินทรัพย์อื่นๆ เพิ่มขึ้นอย่างคริปโตเคอร์เรนซี อย่างวันนี้เอง จีนเข้ามาถือทองคำแล้วประมาณ 5% จากเมื่อ 10 ปี ก่อนถือทองคำ 2% และเทรนด์หลายๆ ประเทศที่เป็นรัสเซีย จีน เริ่มซื้อทองคำเพิ่มขึ้น
อย่างจีน จริงๆ แล้วยังมีเหมืองอยู่ในประเทศค่อนข้างมากและนโยบายไม่มีการส่งออกทองคำ โดยทองที่ผลิตมาได้ทั้งหมดในจีนจะนำกลับเข้าในประเทศแล้วแต่ละปีจีนซื้อทองคำประมาณ 1,300 ตันทุกปี หรือประมาณเกือบ 25-30% ของผู้บริโภคทั้งโลก และในอนาคตหากมองจีนกับสหรัฐ ต่อไปใครจะมีอำนาจเหนือขึ้นมาและนโยบานการเงินที่ไหนจะสำคัญ และหากจะมองนโยบายฝั่งจีน แล้วคนจะเชื่อถือจีนได้อย่างไรนั้น ทองคำแม้จะเป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยนทางการเงินไม่ได้ เพราะความต้องการใช้มันมากกว่าปริมาณทองที่สามารถผลิตได้แต่หลายๆ ประเทศอย่าง อินเดีย จีน รัสเซีย เริ่มสะสมทองคำเพิ่มขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อถือให้ประเทศ
ดังนั้น สัดส่วนที่ควรมีทองคำในพอร์ตควรมี 5-15% หากเป็นสายซิ่งอยากให้มีทองคำ 8-15% แต่หากไม่ต้องการความเสี่ยงมากนักให้ลงทุนในพอร์ตอยู่ 5% แต่ปีนี้ทองคำก็ทำสถิติสูงสุดไปแล้วโดยล่าสุดขึ้นไปที่ 2,530 ดอลลาร์ ซึ่งเรามองว่ารอบนี้ราคาทองคำก็ยังได้ไปต่อ โดยที่แนวต้านต่อไปอยู่ที่ 2,550-2,650 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หากขึ้นไปได้ เราอาจจะเห็นใกล้ๆ 3,000 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
นอกจากนี้ เรามีโอกาสเห็นทองคำขึ้นไปถึง 50,000 บาท แต่ต้องขึ้นอยู่กับค่าเงินบาท เพราะทุกๆ เงินบาท 10 สตางค์ที่แข็งค่า มีผลทำให้ราคาทองในประเทศปรับตัวลดลงประมาณ 35 บาท และถ้ายิ่งเงินบาทแข็งค่าทองคำ ก็จะยิ่งปรับตัวลดลง แต่ถ้าเรามองว่าแนวโน้มปีนี้เป็นขาขึ้น และจากนี้อีก 3 ปี เป็นขาขึ้นอยู่ ฉะนั้นทุกครั้งที่มีการย่อตัวของราคาทองคำก็น่าจะเข้าสะสม
ขณะเดียวกัน จากปัจจุบันคนไทย 60% มีการออมทองอยู่โดยที่ซ้อทองคำเก็บ และเราเป็นประเทศในโซนเอเชียที่ซื้อทองคำเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อในฝั่งยุโรป สหรัฐ การเข้าถึงทองคำได้ยากทองซื้อผ่านกองทุน ETF แต่ในไทยมีร้านทองประมาณ 8,000 แห่ง ทำให้นักลงทุนซื้อได้ง่าย และเรายังเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นต้นแบบของภูมิภาคในเรื่องการซื้อขายทองคำ เพราะเราจะเห็นว่าในเมืองไทยอย่างตลาดโกลฟิวเจอร์ เราเป็นอันดับต้นๆ ในเมืองไทยที่มีการซื้อขาย หรือกระทั่งทองคำแท่งเรามีการพัฒนาขึ้นไปในรูปแบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม ทำให้ปีที่ผ่านมาตลาดทองคำในเมืองไทยมีมูลค่ามากว่า 4 ล้านล้านบาท และประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว เมียนมา ยังไม่มีให้เห็น
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ผู้ประกอบการไทยได้พัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้น แม้กระทั่งสมาคมมีการทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนา และนอกจากให้ความรู้ต่างๆ แล้ว ตอนนี้เริ่มพัฒนา SRO และมีการจัดตั้งองค์กรเพื่อกำกับดูแลผู้ประกอบการ โดยก่อนหน้านี้ ได้มีการตรวจคุณภาพทองคำ และได้มาพัฒนาสินค้าสำหรับการออมทองออนไลน์ขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ที่ผ่านมา อีกตลาดที่รัฐบาลควรเข้ามาดู คือ ตลาดสีเทา เพราะจะเห็นได้ว่ามีตลาดเหล่านี้เข้ามาจัดสัมมนาในเมืองไทยหลายรอบ หรือตลาดฟอเร็กซ์ โดยกลุ่มนักศึกษา สนใจเข้าไปลงทุนในตลาดฟอเร็กซ์ที่ไม่ได้เป็นผู้ประกอบการไทย มีการเข้ามาแล้วก็หายไป และในแต่ละปีเข้ามาจัดงานเมืองไทย 5-6 ครั้ง ซึ่งเห็นได้ว่าตลาดเมืองไทยในแง่การลงทุนนั้น ผู้ประกอบการ นักลงทุน มีความรู้ความเข้าใจค่อนข้างมาก หากรัฐบาทมีการเฝ้าดูอาจจะช่วยเหลือด้านการลงทุนนักลงทุนมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น