“พิชัย” ห่วง ส่วนต่างของดอกเบี้ยนโยบาย 2.5% กับดอกเบี้ยอ้างรายย่อยที่ 7% สูงเกินไป อยากให้ แบงก์ชาติ และสถาบันการเงินช่วยดูแล
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยหลังปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา ประชาชาติ อีเอสจี ฟอรัม 2024 ไทม์ ฟอร์ แอคชัน : พลิกวิกฤตโลกเดือด ว่า การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.5% ถือเป็นมุมมองของหน่วยงานที่กำกับดูแลภาพรวมเศรษฐกิจ ซึ่งการจะลดหรือไม่ลด ก็เป็นมุมมองต่อตัวชี้วัดของเศรษฐกิจในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือดอกเบี้ยนโยบายที่จะแปรไปเป็นดอกเบี้ยของประชาชนและร้านค้าจะต้องจ่าย เป็นสิ่งที่เป็นประเด็นมากกว่า ดอกเบี้ยนโยบายตอนนี้ที่ 2.5% กับดอกเบี้ยรายย่อยที่คิดเฉลี่ย 7% มันเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งคิดว่าผู้กำกับดูแลจะต้องให้ความสำคัญ และจะต้องไปดูกับสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องให้เกิดความเหมาะสม
เมื่อถามว่าปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยอ้างอิงลูกค้ารายย่อยสูงเกินไปหรือไม่ เรื่องนี้ก็แล้วแต่มุมมอง ส่วนตัวมองว่าส่วนต่างของต้นทุนของสถาบันการเงิน กับดอกเบี้ยที่ได้มันต่างกันมาก ถ้าเป็นรายใหญ่ก็ต่ำมาก รายกลางก็ต่ำ แต่ถ้าเป็นรายย่อยส่วนมากยังคงสูง แต่สถาบันการเงินก็อาจมองว่ากลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูง
นายพิชัย กล่าวถึงปัญหาโลกเดือดว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาจัดทำตลาดกลางคาร์บอนเครดิตขึ้นมา พร้อมกับทำแพลตฟอร์มให้สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ ขณะเดียวกันต้องกำหนดราคาของคาร์บอนเครดิตให้เหมาะสม โดยพิจารณาจากราคาตลาดโลก ตลาดเพื่อนบ้าน อุปสงค์อุปทาน ถ้าความต้องการมากราคาก็จะขึ้น เช่น ราคาตลาดโลกตอนนี้เฉลี่ย 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันคาร์บอนเครดิต แต่สิงคโปร์อยู่ที่ 34 ดอลลาร์สหรัฐ
“ไทยจะต้องนำปัจจัยเหล่านี้มาคำนวณราคา ซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก แต่ความยากอยู่ตรงที่การจะนำผู้ประกอบการขนาดใหญ่ กลาง เล็ก คนทั่วไป และเกษตรกร เข้ามามีส่วนร่วมในการทำคาร์บอนเครดิต จะทำอย่างไร โดยรัฐบาลมีหน้าที่จะต้องส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจให้ประชาชน“
ส่วนการซื้อขายเบื้องต้นยังไม่กำหนดว่าจะมีการเก็บภาษีจากกำไร หรือแคปปิตอลเกน โดยถ้าซื้อขายในตลาดที่เตรียมไว้ ก็จะไม่มีการเก็บภาษีอยู่แล้ว ในส่วนการเก็บภาษีคาร์บอน ขณะนี้หลายประเทศได้เริ่มแล้ว เช่น สิงคโปร์ สำหรับไทยก็กำลังพิจารณาว่าจะมีการเก็บภาษีขาเข้าอย่างไร ซึ่งน่าจะมีคำตอบได้