“ดนุชา” ห่วงภัยคุกคามทางเพศเด็กและเยาวชนโลกไซเบอร์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แนะสร้างการตระหนักรู้เท่าทันภัยคุกคามดิจิทัล
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวในการแถลงภาวะสังคมไทยไตรมาสที่ 2/2567 ว่า การคุกคามทางเพศเด็กและเยาวชนออนไลน์ที่เกิดขึ้นผ่านโซเชียลมีเดียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบต่อเด็กผู้ถูกกระทำหลายด้าน อาทิ ปัญหาด้านการปรับตัวเข้าสู่สังคม ความวิตกกังวล ความเครียด และภาวะซึมเศร้า รวมถึงปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นหลังได้รับผลกระทบทางจิตใจ ซึ่งจากรายงานของ ECPAT International องค์กรภายใต้ UNICEF ระบุว่า ปี 2567 ประเทศไทยเป็น 1 ใน 25 ประเทศ ที่มีปัญหาการคุกคามทางเพศต่อเด็กและเยาวชนทางออนไลน์ในระดับที่น่ากังวล เช่นเดียวกับคดีเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็กและเยาวชนออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 48 คดีในปี 2560 เป็น 540 คดี ในปี 2566
สำหรับการคุกคามทางเพศออนไลน์ที่เกิดขึ้นต่อเด็กมีอยู่หลายระดับ คือ 1.ระดับเบื้องต้น (Low-level Harassment) มักเป็นการคุกคามประเภทผู้กระทำมักไม่คิดว่าเป็นการคุกคามต่อผู้ถูกกระทำ ได้แก่ การก่อกวนโดยวิธีการแสดงความคิดเห็นที่ใช้ถ้อยคำโดยไม่ได้เจาะจงเป็นรายบุคคล อาทิ กลุ่มโลลิค่อน ที่มีการคอมเมนต์เนื้อหาที่มีนัยทางเพศแก่เด็กนักเรียน 2. ระดับปานกลาง (Moderate-level Harassment) มุ่งเน้นการกระทำซ้ำและก่อให้เกิดความเครียดทางอารมณ์ให้กับเหยื่อรายบุคคล โดยมาในรูปแบบการก่อกวนต่อเนื่อง การดูหมิ่นทางเพศเพื่อทำให้เกิดความอับอาย รวมถึงการเริ่มเข้าไปลุกล้ำความเป็นส่วนตัว และ 3.ระดับสูง (Severe/High-level Harassment) เป็นการคุกคามโดยพฤติกรรมที่รุนแรง และก้าวร้าว ทำให้เกิดผลกระทบทางอารมณ์และจิตใจ ซึ่งเป็นระดับความรุนแรงที่บ่งบอกถึงการทำผิดกฎหมายการล่วงละเมิดทางเพศอย่างชัดเจน อาทิ การล่อลวงนักเรียนอายุ 17 ปี ด้วยการสร้างสัมพันธ์เชิงชู้สาว ก่อนที่จะทำการรับเหยื่อมากระทำอนาจารพร้อมทั้งถ่ายคลิป และนำไปแสวงหาผลประโยชน์ด้วยการเก็บค่าสมาชิกสำหรับการเข้ารับชม
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าการคุกคามทางเพศออนไลน์เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ และในบางกรณีผู้กระทำอาจไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้ถูกกระทำเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งเกิดจากการพบเห็นการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน อาทิ ในสื่อต่าง ๆ อีกทั้ง การขาดความรู้ถึงเรื่องสิทธิของเด็กและผู้ปกครอง และการไม่ทราบช่องทางการช่วยเหลือจากรายงานของ UNICEF ปี 2565 พบว่า เด็กและเยาวชน ร้อยละ 47 ไม่ทราบถึงช่องทางการช่วยเหลือ หากตนเองหรือเพื่อนถูกล่วงละเมิด/คุกคามทางเพศออนไลน์ ซึ่งบางส่วนมองว่าตนไม่ใช่ผู้เสียหาย รวมถึงเด็กและเยาวชนบางส่วนมีความรู้สึกอับอายไม่กล้าเปิดเผยข้อมูล ส่งผลให้การแจ้งความดำเนินคดีที่น้อยกว่าความเป็นจริง
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องหามาตรการป้องกัน และแก้ไขอย่างจริงจัง ได้แก่ 1.สร้างทัศนคติในการป้องกันการเพิกเฉยต่อการคุกคามทางเพศ โดยเริ่มต้นจากสถาบันครอบครัวที่จะต้องสอดส่องดูแลพฤติกรรมการใช้สื่อ ในขณะที่ระดับชุมชนและภาครัฐจะต้องมีมาตรการในการลงโทษที่ชัดเจน 2.การให้ความรู้ด้านสิทธิและความเสี่ยงจากการถูกคุกคามทางเพศออนไลน์ โดยสถาบันการศึกษา และชุมชน และ 3.สร้างความตระหนักรู้เท่าทันภัยคุกคามดิจิทัล เนื่องจากการคุกคามทางเพศเด็กออนไลน์ มีรูปแบบใหม่และเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ดังนั้น ครอบครัวควรให้ความรู้เกี่ยวกับการไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ขณะที่สถานบันการศึกษาควรให้ความรู้เกี่ยวกับการล่อลวงทางเพศให้เป็นความรู้พื้นฐานหรือเป็นหลักสูตร