เศรษฐกิจโลกส่อถดถอย จับตาปัจจัยว่างงานสหรัฐ ชี้ท่องเที่ยวเป็นแรงส่งเศรษฐกิจไทย
วันที่ 12 ก.ย. นายสมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเติบโตชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หลังจากเติบโตได้ดีในช่วงครึ่งปีแรก คาดว่าทั้งปี 67 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 2.7% และขยายตัว 2.8% ในปี 68 แม้ว่าขณะนี้ตลาดจะเริ่มกลับมากังวลว่าเศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยแบบรุนแรงได้ โดยเฉพาะในสหรัฐ เพราะอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเร็วจนเข้าเกณฑ์ของดัชนีเตือนเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ
ขณะที่เศรษฐกิจโลกจะมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือ ธนาคารกลางหลักจะทยอยลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในระยะข้างหน้า จากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ปรับชะลอลง ซึ่งจะช่วยดูแลเศรษฐกิจและลดโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยได้ โดยในช่วงที่เหลือของปี 67 และปี 68 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2% และปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศจะกดดันให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวชะลอลงและเปราะบางมากขึ้นในระยะปานกลาง
นอกจากนี้ ประเมินเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำในปี 67 คาดขยายตัว 2.5% และในปี 68 ขยายตัว 2.6% จากการท่องเที่ยวยังเป็นแรงส่งหลักที่เหลืออยู่ของเศรษฐกิจไทย ประเมินนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 68 ไว้ที่ 39.4 ล้านคน โดยการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังถูกกดดันจากแนวโน้มการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนแบบกรุ๊ปทัวร์ ขณะที่การส่งออกไทยปี 68 ยังเติบโตต่ำกว่าในอดีต ส่วนหนึ่งจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง
นายสมประวิณ กล่าวว่า ภาคธุรกิจไทยยังต้องเจอความท้าทายเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่อาจสูญเสียกำลังการผลิตในประเทศไปราว 40% หากการปรับตัวของค่ายรถยนต์ไม่เท่าทันกับกระแสนิยมที่กำลังเปลี่ยนไป และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเจอแรงกดดัน จากกำลังซื้อในประเทศที่เปราะบาง อีกทั้ง ยังถูกซ้ำเติมจากการตีตลาดจากสินค้านำเข้า กระบวนการผลิตและการตลาดล้าสมัย ดังนั้น การผลักดันให้ภาคธุรกิจเหล่านี้เติบโตได้อย่างยั่งยืนต้องพึ่งพามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ควบคู่กับนโยบายยกระดับความสามารถทางการเเข่งขันในระยะยาว
ด้านอัตราดอกเบี้ยของไทย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยนโยบายเดือน ธ.ค.นี้ และต่อเนื่องช่วงต้นปี 68 จะทำให้ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2% จากสัญญาณอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัวชัดเจนขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากภาวะการเงินตึงตัวนาน สำหรับค่าเงินบาทช่วงที่ผ่านมาแข็งค่าเร็ว ซึ่งในระยะสั้นเงินบาทอาจอ่อนค่าเล็กน้อยจากปัจจัยเศรษฐกิจของสหรัฐ คาดสิ้นปี 67 เงินบาทอยู่ที่ 34-34.5 บาทต่อดอลลาร์ และในปี 68 เงินบาทอยู่ที่ 33-34 บาทต่อดอลลาร์