อดีตรมว.คลัง "สุชาติ" ชี้ค่าเงินบาทแข็งเกินไป ยังทำให้ราคาสินค้าเกษตรเกือบทุกชนิดในประเทศตกต่ำลงด้วย เพราะถูกกดราคาจากสินค้าเกษตรนำเข้า ที่มีราคาในรูปเงินบาทถูกลง
เมื่อวันที่ 21 ต.ค.67 ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรมว.คลัง และผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจมหภาค กล่าวถึงผลกระทบจากค่าเงินบาทว่า 1.การที่ค่าเงินบาทแข็งมากเกินไป (แข็งกว่าอินเดีย 2.58 เท่า แข็งกว่าเวียดนาม1.6 เท่า และแข็งกว่าทุกประเทศในโลก 25-60% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา) อันเนื่องมาจากนโยบายของแบงก์ชาติ ทำให้เศรษฐกิจไทยไม่เจริญเติบโตแล้ว ยังมีผลให้ราคาสินค้าเกษตรที่ผลิตและขายในประเทศตกต่ำลงด้วย
2.ทั้งนี้เพราะราคาสินค้าเกษตรนำเข้า เช่น ข้าวโพด,ข้าวฟ่าง,ข้าวสาลี พืชผักผลไม้ ในรูปเงินบาทมีราคาถูกลง อันเนื่องมาจากเราใช้เงินบาทน้อยลงไปแลกเงินดอลล่าร์ เพื่อซื้อสินค้านำเข้าเหล่านี้
3.ราคาสินค้าเกษตรนำเข้าที่ถูกลง จึงไปกดราคาสินค้าเกษตรที่เราผลิตในประเทศให้ต่ำลงไป ทำให้เกษตรกรกว่า 8.8 ล้านครัวเรือน มีรายได้ลดลงและยากจนเพิ่มขึ้น
4.รัฐบาลมักแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ด้วยการห้ามนำเข้าสินค้าเหล่านี้ เป็นช่วงๆ เช่น ช่วงที่มีการเก็บเกี่ยว และใช้เงินงบประมาณมาชดเชยราคาสินค้าเกือบทุกชนิดทุกๆ ปี
5.ความจริง แค่เราปรับค่าเงินบาทให้อ่อนลงหน่อย จะสามารถแก้ไขราคาสินค้าเกษตรในประเทศให้ดีขึ้นได้ทุกชนิด โดยแทบไม่ต้องใช้เงินภาษีมาอุดหนุนเลย
6.ปัจจุบันแบงก์ชาติปล่อยให้เงินบาทแข็งมากเกินพื้นฐาน สวนทางกับเศรษฐกิจไทยที่ไม่เจริญเติบโต ด้วยมาตรการที่แบงก์ชาติสร้างขึ้นมาเอง คือ (1)ทำให้ดอกเบี้ยไทยที่แท้จริงสูงเกินไป ปริมาณเงินบาทในระบบเศรษฐกิจจึงมีน้อยเกินไป และ (2) แบงก์ชาติยังปล่อยให้ต่างชาติ นำเงินตราต่างประเทศเข้ามาเก็งกำไรในตลาดทุน ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น เพราะแบงก์ชาติไม่เพิ่มปริมาณเงินบาทตามจำนวนเงินตราต่างประเทศที่เข้ามา โดยเกรงกลัวเงินเฟ้อ ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเงินฝืด
7.จึงเกิดเหตุการณ์ที่ว่าเงินตราต่างประเทศไหลเข้ามาแล้ว เงินบาทก็แข็งค่าขึ้น ไปทำให้สินเกษตรที่ผลิตและขายในประเทศมีราคาตกต่ำลง คนส่วนใหญ่ยากจนลง และอัตราการเพิ่มของ GDP ตกลง
8.กระทรวงการคลังต้องรีบแก้ไข หากปล่อยไปอย่างนี้ เราจะไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้ และยังต้องเอาเงินภาษีไปชดเชยราคาสินค้าที่ตกต่ำมากมาย รัฐบาลจะฟื้นเศรษฐกิจได้ยากขึ้นเรื่อยๆ