กองทุนน้ำมันฯ ย้ำยังตรึงดีเซลไม่เกิน 33 บาท เว้นน้ำมันโลกทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐ อาจขอขยับราคาขายปลีกหวังรักษาสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ ชี้ยังต้องรอใช้หนี้ 1.05 แสนล้านบาท
นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศสาตร์ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง(สกนช.) เปิดเผยว่า ได้เดินหน้ารักษาเสถียรภาพระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง โดยปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯขึ้นลงเพื่อให้ราคาขายปลีกสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล แม้ว่า ราคาน้ำมันตลาดโลกยังผันผวนต่อเนื่อง โดยกรณีดีเซลยังตรึงราคาไม่เกินลิตรละ 33 บาทแบบไม่มีกำหนด จากปัจจุบันมีการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯอยู่ลิตรละ 1.72 บาท แต่ถ้าราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 86 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อาจทบทวนการขยับราคาขายปลีก เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯได้ เนื่องจากยังมีภาระการชำระหนี้เงินกู้ยืมเงินต้นและดอกเบี้ยจากสถาบันการเงิน ที่วงเงินรวม 105,333 ล้านบาท
ทั้งนี้ปัจจุบันสถานการณ์ราคาน้ำมันในช่วงรอบปีที่ผ่านมา ตลาดน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 81.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 102.01 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้อยกว่าปีก่อน 10.89 ดอลลาร์สหรัฐ และเบนซินอยู่ที่ 95.12 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้อยกว่าปีก่อน 4.48 ดอลลาร์สหรัฐ และกองทุนน้ำมันฯยังต้องเข้าไปดูแลราคาก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) ที่ยังตรึงราคา 423 บาทต่อถัง (ขนาด 15 กิโลกรัม) เพื่อบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชน
“ตอนนี้ราคาดีเซลยัง 33 บาทต่อไป ซึ่งไม่ได้กำหนดว่าจะถึงเมื่อไร โดยใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯมาดูแล โดยไม่ต้องเข้าครม. เพราะเป็นหน้าที่ที่สกนช.บริหารได้เอง แต่ถ้าราคาน้ำมันดิบทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐก็ต้องมาทบทวนโครงสร้างราคากันอีกครั้ง เพราะเรายังมีหนี้ที่ต้องทยอยจ่ายคืนเริ่มเดือนพ.ย. นี้ งวดแรกประมาณ 500 ล้านบาท และทยอยเพิ่มขึ้นทุกเดือนตามวงเงินที่กู้แต่ละงวด มีกำหนดแผนชำระหนี้เสร็จในปี 71”
อย่างไรก็ตามขณะนี้สภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯมีเงินไหลเข้าประมาณ 7,000-9,000 ล้านบาทต่อเดือน ส่งผลให้ประมาณการฐานะกองทุนจากวันที่ 28 ก.ค. 67 ที่เคยติดลบ 111,663 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 64,066 ล้านบาท และบัญชีแอลพีจี ติดลบ 47,597 ล้านบาท เป็นติดลบเหลือ 99,087 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 51,643 ล้านบาท บัญชีแอลพีจี 47,444 ล้านบาท ณ วันที่ 29 ก.ย. 67
อย่างไรก็ตามภารกิจสำคัญที่ต้องดำเนินการต่อในปีงบประมาณ 2568 เดินหน้าการชำระหนี้เงินกู้ยืมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยจากสถาบันการเงิน เริ่มชำระเงินต้นในเดือนพ.ย. 67 ประมาณ 139 ล้านบาท และเพิ่มการผ่อนชำระหนี้เงินต้นขึ้นต่อเนื่อง ในแต่ละเดือนตามวงเงินกู้ยืม ซึ่งจำนวนนี้ยังไม่รวมดอกเบี้ยเงินกู้ยืมอีกประมาณเดือนละ 250-300 ล้านบาท โดยจะชำระหนี้เงินกู้เสร็จสิ้นในเดือนก.ย. 71,การติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลก ที่ยังคงมีความผันผวนซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องเรียกเก็บเงินไว้ในช่วงที่ยังมีภาระหนี้เงินกู้ยืมเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน,จัดทำแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง ปี 68-72 เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และดำเนินการสรรหาผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือนธ.ค. 67