เปิดบทวิเคราะห์ตลาดหุ้น หลังทรัมป์ นั่งประธานาธิบดีสหรัฐ แนวโน้มการลงทุนเป็นอย่างไร แนะ 3 กลุ่มหุ้นที่น่าจับตา
ธนาคารกรุงไทย (Krungthai Chief Investment Office) วิเคราะห์ตลาดและการลงทุนหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พร้อมครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร หรือ Red Sweep มีโอกาสเกิด
Trump Trade หรือการที่ตลาดปรับตัวตามนโยบายหาเสียงของทรัมป์ ซึ่งมุ่งแนวทาง America First หรืออเมริกาต้องมาก่อน
โดยมีแผนกระตุ้นการใช้จ่ายมากขึ้น ลดภาษี และลดกฎเกณฑ์ในการทำธุรกิจ เช่น การลดภาษีนิติบุคคล จาก 21% เหลือ 15% แผนยืดระยะเวลาการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขณะที่ด้านการค้าระหว่างประเทศ มีนโยบายเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนที่ระดับ 60% และเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศอื่นๆ ที่ระดับ 10% โดยนโยบายด้านภาษี จะเป็นนโยบายที่สามารถเริ่มได้เร็วที่สุด เนื่องจากสามารถอาศัยอำนาจฝ่ายบริหาร (Executive Order) ในการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนได้ทันที
นอกจากนี้ นโยบายของทรัมป์ ยังมีแนวโน้มผ่อนคลายกฎเกณฑ์ในการทำธุรกิจ เช่น กฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม สนับสนุนพลังงานฟอสซิล กฎระเบียบควบคุมสถาบันการเงิน และสุดท้ายนโยบายเพิ่มการคุมเข้มคนเข้าเมือง
Krungthai CIO มองว่า การที่ทรัมป์มีแผนที่จะใช้จ่ายมากขึ้น ควบคู่กับการปรับลดภาษีนั้น ส่งผลให้สหรัฐ อาจขาดดุลทางการคลังเพิ่มขึ้น โดยมาตรการการปรับขึ้นภาษีนำเข้า ส่งผลให้เงินเฟ้ออาจชะลอตัวในอัตราลดลง ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ และยังคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับสูงในระยะเวลาที่นานขึ้น
Krungthai CIO ประเมินว่า หุ้นแต่ละกลุ่มได้รับผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ที่ต่างกัน ดังนี้
หุ้นขนาดเล็กที่มีรายได้จากในประเทศเป็นหลัก จากแนวทางการบริหารประเทศแบบ America First การมีกำแพงภาษี และการปรับลดภาษีนิติบุคคลหุ้นการเงิน จากแนวโน้มผ่อนคลายกฎเกณฑ์ในการทำธุรกิจ ทั้งสถาบันการเงิน และธุรกิจอื่นๆ ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงินหุ้นพลังงาน จากมาตรการลดกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม สนับสนุนพลังงานฟอสซิล ส่งผลให้หุ้นกลุ่มพลังงานได้รับอานิสงส์เชิงบวก ในทางตรงกันข้าม หุ้นที่อาจได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ หุ้นกลุ่มพลังงานสะอาด เนื่องจากนโยบายของทรัมป์มีแผนที่จะลดการสนับสนุนอุตสาหกรรมดังกล่าว
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน Krungthai CIO แนะลงทุนหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐ หุ้นกลุ่มพลังงาน สร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี และชะลอการลงทุนตราสารหนี้ เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ และทิศทางของอัตราเงินเฟ้อในอนาคต เนื่องจากได้รับผลกระทบมากที่สุดจากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อเร่งตัว และการที่เศรษฐกิจสหรัฐ ยังโตได้แข็งแกร่ง ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจไม่จำเป็นที่ต้องเร่งลดอัตราดอกเบี้ยเหมือนกับที่ตลาดเคยมองไว้