“เอกนัฏ” ส่งทีมปฏิบัติการสุดซอยลุยตรวจโรงงานในเขตฟรีโซน พื่นที่แปลงยาว ฉะเชิงเทรา พบถูกสั่งระงับตั้งแต่ พ.ค. 66 ลอบเปิดกิจการ กก.ผจก.รับสารภาพ “ฐิติภัสร์“ ซัดอ้างขั้นตอนขอนุญาตล่าช้า ทั้งที่ไม่พยายามปรับปรุงแล้วตีมึนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลั่นต้องเอาผิดถึงที่สุด
เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 67 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 67 ได้ส่งชุดตรวจการสุดซอย นำโดย น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยกรมโรงงานอุตสาหกรรม กองตรวจราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม,เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.),เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร และเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา ลงตรวจเขตปลอดอากร โรงงานแห่งหนึ่งใน อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งประกอบกิจการนำเข้าวัสดุมาคัดแยกบดย่อย และส่งออก
นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า เขตปลอดอากรหรือฟรีโซนแห่งนี้ เคยถูกสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา ออกหนังสือสั่งระงับการฝ่าฝืนตั้งโรงงานและประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. 66 เป็นต้นมา จนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.โรงงานฯ) แต่ในขณะเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นเมื่อวันที่ 15 พ.ย. 67 กลับพบว่าโรงงานยังฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน ลักลอบประกอบกิจการ เจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันแจ้งข้อหาและดำเนินคดีกับกรรมการผู้จัดการบริษัทดังกล่าว ซึ่งจับกุมได้ในที่เกิดเหตุ และยอมรับสารภาพตามที่เจ้าพนักงานแจ้งข้อหา
“ปฏิบัติการตรวจสุดซอยในพื้นที่เขตปลอดอากรนี้ ถือเป็นหนึ่งในมาตรการปูพรมตรวจกำกับดูแลโรงงานกลุ่มเสี่ยงสูงในพื้นที่เฝ้าระวัง เพื่อควบคุมไม่ให้มีการกระทำที่ฝ่าฝืนตาม พ.ร.บ.โรงงานฯ ถึงแม้จะอยู่ในพื้นที่เขตปลอดอากร หรือฟรีโซน ซึ่งถือว่ามีสิทธิประโยชน์มากกว่าพื้นที่ทั่วไป ก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย” นายเอกนัฏ กล่าว
น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวเสริมว่า จากการสอบถามกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ เบื้องต้นอ้างว่า ขั้นตอนการขออนุญาตต่างๆ กับกรมโรงงานอุตสาหกรรม มีขั้นตอนที่ล่าช้า ซึ่งในความเป็นจริงพบว่า ตั้งแต่ถูกสั่งระงับกิจการมาเป็นเวลากว่าปีเศษ โรงงานยังไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานในการออกใบอนุญาตโรงงานได้ ขณะเดียวกันกลับมีการต่อเติมโรงงาน ติดตั้งเครื่องจักร พร้อมเดินเครื่องประกอบกิจการอย่างต่อเนื่อง จึงต้องบังคับใช้กฎหมายเพื่อไม่ให้กระทบกับสิ่งแวดล้อม ประชาชน และชุมชนในอนาคต
“ผู้กระทำผิดไม่มีสิทธิกล่าวอ้างว่า ขั้นตอนการขออนุญาตล่าช้า เพราะจากการตรวจสอบก็ชัดเจนว่า โรงงานเองที่ไม่มีความพยายามในการปรับปรุงหรือแก้ไขให้ถูกต้องตามมาตรฐาน แล้วยังลักลอบประกอบกิจการ ซึ่งก็รู้ว่าผิดกฎหมาย ตามปฏิบัติการสุดซอยจึงต้องจับกุมแล้วดำเนินคดีให้ถึงที่สุด” น.ส.ฐิติภัสร์ ระบุทิ้งท้าย