ลงทุนอย่างไรไม่ให้เจ็บตัว เมื่อใช้ Leverage และ Margin
ในโลกของการลงทุน “Leverage” และ “Margin” เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการลงทุนอย่างมหาศาล หากเรียนรู้และใช้อย่างเหมาะสมและรอบคอบ จะสามารถช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนได้หลายเท่า แต่ในทางตรงกันข้าม หากใช้อย่างไม่ระวังอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างหนักได้ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Leverage และ Margin เพื่อการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
กลไกและความสำคัญของLeverage และ Margin
นักลงทุนสามารถใช้Leverage ผ่านการกู้ยืมเงินจากบริษัทหลักทรัพย์เพื่อนำเงินดังกล่าวมาใช้ในการลงทุน หรือสามารถใช้ Leverage ผ่านการเข้าลงทุนในอนุพันธ์ที่มี Leverage แฝงอยู่ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนสามารถควบคุมการลงทุนที่มีมูลค่ามากกว่าเงินทุนของตนเองได้ เช่น ถ้าใช้ Leverage 1:10 นักลงทุนสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากกว่าเงินลงทุนที่มีอยู่ได้มากถึง 10 เท่า ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพในการลงทุนขึ้นอย่างมาก และอาจเป็นได้ทั้งคุณและโทษต่อเงินลงทุนของนักลงทุน
การใช้ Leverage มักมาคู่กับการซื้อขายในรูปแบบการวางหลักประกัน (Margin) พื้นฐานของการซื้อขายแบบมี Leverage คือการที่นักลงทุนต้องวางหลักประกันส่วนหนึ่งของมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมดเพื่อทำการซื้อขายสินทรัพย์ โดยสำหรับหลักประกันที่นิยมใช้จะสามารถแบ่งออกเป็น หลักประกันขั้นต้น (Initial Margin),หลักประกันรักษาสภาพ (Maintenance Margin) และหลักประกันปิดสถานะ (Force Close Margin) ซึ่งแต่ละหลักประกันจะถูกใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่น
นักลงทุนต้องวางหลักประกันขั้นต้นคิดเป็น 10% ของมูลค่าการลงทุน เพื่อเข้าลงทุนในสินทรัพย์ (คิดเป็น Leverage 1:10) และต้องรักษาระดับเงินลงทุนในพอร์ตให้อยู่สูงกว่าหลักประกันรักษาสภาพที่ระดับ 7% ของมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมด (70% ของหลักประกันขั้นต้น) โดยหากต่ำกว่านั้นจะมีการเตือน (Margin Call) เพื่อให้นักลงทุนทำให้เงินลงทุนในพอร์ตกลับมาอยู่สูงกว่าหลักประกันรักษาสภาพอีกครั้ง หรือกรณีที่เกิด Margin Call และเพิ่มเงินลงทุนไม่ทันจนเงินลงทุนลดลงต่ำกว่าหลักประกันปิดสถานะที่ระดับ 2.5% ของมูลค่าเงินลงทุน (25% ของหลักประกันขั้นต้น) จะทำให้บริษัทหลักทรัพย์หรือผู้ให้กู้ยืม ทำการบังคับขายทรัพย์สินบางส่วน หรือบังคับปิดสถานะอนุพันธ์บางส่วน เพื่อทำให้มูลค่าสินทรัพย์ในพอร์ตกลับมาอยู่สูงกว่าหลักประกันรักษาสภาพอีกครั้ง
Leverage และ Margin เป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องเข้าใจและนำมาใช้อย่างรอบคอบ เพราะ Leverage ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้สูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุน ยิ่ง Leverage สูงเท่าใด ความเสี่ยงในการสูญเสียเงินทุนก็ยิ่งสูงขึ้นเช่นกัน
ข้อดีและข้อเสียของการใช้Leverage
การใช้ Leverage มีทั้งจุดเด่นและข้อจำกัดหลัก ๆ ดังนี้
จุดเด่นสามารถใช้บริหารเงินลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ราคาสินทรัพย์เคลื่อนไหวตามทิศทางที่คาดการณ์ไว้ข้อจำกัดหากทิศทางของตลาดไม่เป็นไปตามคาด และขาดการใช้อย่างระมัดระวัง Leverage อาจทำให้เกิดการขาดทุนครั้งใหญ่ เช่น การใช้ Leverage 1:10 หมายถึง ถ้าราคาสินทรัพย์ลดลงเพียง 1% นักลงทุนอาจขาดทุนถึง -10% ได้
กลยุทธ์ในการจัดการLeverage และ Margin อย่างปลอดภัย
การจัดการ Leverage และ Margin อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่สูงเกินไป กลยุทธ์ที่สำคัญคือ การใช้วางจุดStop LossและTake Profit
Stop Lossช่วยลดความเสียหายเมื่อราคาสินทรัพย์เคลื่อนไหวในทิศทางที่ไม่เป็นผลดี โดยกำหนดจุดที่จะขายหรือปิดสถานะเพื่อลดการขาดทุนTake Profitตั้งค่าเพื่อปิดสถานะเมื่อมีกำไรตามที่ต้องการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการขาดทุนจากการที่ราคาย้อนกลับหลังจากมีกำไรแล้ว