นายกฯ นั่งหัวโต๊ะบอร์ดนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจนัดแรก เคาะวันแจกเงินหมื่นเฟสสองให้ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป หวังร่วมกันกำหนดและออกแบบนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศ ทั้งระยะสั้น-ระยะยาว
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจนัดแรก โดยนายกฯ กล่าวก่อนการประชุม ว่า จากข้อมูลเศรษฐกิจไตรมาส 3 ปี 2567 ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสศช. เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา จะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 3 ซึ่งตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือจีดีพี ขยับตัวเพิ่มขึ้น 3% ต่อปี เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 และ 2 ที่ขยายตัว 1.6% และ 2.2% ตามลำดับ เมื่อรวมทั้งสามไตรมาส เศรษฐกิจไทยโตอยู่ที่ 2.3% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยการอุปโภคภาครัฐบาล การลงทุนภาครัฐ การส่งออก การท่องเที่ยวและภาคการก่อสร้าง ซึ่งตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย จึงเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกให้เศรษฐกิจไทยที่จะฟื้นตัวดีต่อเนื่อง
ทั้งนี้รัฐบาลเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันจะมีศักยภาพที่เติบโตมากกว่านี้จึงมีการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดนี้ขึ้น เพื่อผลักดันนโยบายตามที่คณะรัฐมนตรีหรือครม. ได้แถลงต่อรัฐสภาให้เกิดผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตเต็มศักยภาพไปพร้อมกับการดูแลคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน รวมทั้งกำหนดแนวทาง การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาว และในระยะสั้น โดยรัฐบาลได้เพิ่มรายได้ และบรรเทาค่าครองชีพของประชาชนกลุ่มเปราะบาง ซึ่งได้เริ่มดำเนินการผ่านการอุดหนุนสำหรับกลุ่มประชาชนที่มีรายได้น้อยและกลุ่มคนพิการ ดังนั้นในระยะต่อไปจึงควรพิจารณาเพื่อช่วยกลุ่มอื่นๆ เช่น ผู้สูงอายุ เป็นต้น
นายกฯ กล่าวว่า ส่วนเรื่องภาระหนี้สินครัวเรือน แม้ว่ากลางปี 2567 ระดับหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีจะปรับตัวลดลงเหลือ 89.6%จาก 90.7%ของไตรมาสก่อนหน้านี้ แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง โดยในแต่ละเดือนประชาชนมีภาระในการชำระหนี้สูง และมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ได้ จึงควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนให้เบ็ดเสร็จอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ และเอสเอ็มอี ซึ่งกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย อยู่ในระหว่างการพิจารณาออกแบบมาตรการการแก้ปัญหาหนี้ที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนควบคู่ไปกับการรักษาวินัยการเงินการคลังของประชาชน ขณะที่ในระยะยาว รัฐบาลให้ความสำคัญกับมาตรการเพิ่มศักยภาพการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคณะกรรมการชุดนี้จะร่วมกันกำหนดและออกแบบนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศต่อไปทั้งระยะสั้นและระยะยาว