'สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์' ชี้แจงคดี ทศท. เหตุมีข้อมูลคลาดเคลื่อน ยืนยันตนเองไม่ได้เป็นจำเลย ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย 3.3 หมื่นล้านบาท
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ หนึ่งในกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) ในขณะนั้น ชี้แจงกรณีที่มีกระแสข่าวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3483/2563 พิพากษาให้จำเลย อดีตผู้อำนวยองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยชดใช้เงินจำนวน 33,030,343,367.97 บาท (3.3 หมื่นล้านบาท) พร้อมดอกเบี้ย และกรรมการทศท.ในขณะนั้น มีเหตุสมควรให้ร่วมรับผิดในความเสียหายด้วย นั้น
ยืนยันว่า ข่าวที่แพร่หลายออกไปนั้น ในทางกฎหมายเป็นข่าวที่ไม่ถูกต้อง เพราะเสนอความจริงเพียงครึ่งเดียว มีข้อมูลเพียงบางส่วนมาเผยแพร่ ไม่ได้อ่านคำพิพากษาทั้งหมด โดยเฉพาะในหน้าแรกของคำพิพากษาที่แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่ากรรมการไม่ได้เป็นจำเลย ไม่ได้เป็นคู่ความในคดี
ข่าวที่เผยแพร่ออกไปนั้น กล่าวเฉพาะส่วนที่เป็นพลความของคำพิพากษา โดยไม่เข้าใจว่าพลความหรือความเห็นที่ปรากฏในคำพิพากษานั้น ไม่สามารใช้บังคับกับบุคคลภายนอกที่มิได้เป็นคู่ความ ทั้งนี้ ตามความในประมวลกฎหมายพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน
นอกจากนี้ ข้อมูลที่เผยแพร่ข่าวสารออกไปนั้น เห็นว่ากรรมการต้องรับผิดในความเสียหาย ซึ่งในทางกฎหมายไม่ถูกต้อง เพราะกรรมการไม่ได้เป็นจำเลย และการอ่านคำพิพากษาคดีใดก็ตาม ต้องอ่านบรรทัดสุดท้ายของคำพิพากษาด้วยว่าศาลพิพากษาไว้อย่างไร
บรรทัดสุดท้ายของคดีนี้ ศาลฎีกาพิพากษายืน คำว่าพิพากษายืน คือยืนตามศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่ได้กล่าวถึงความรับผิดของคณะกรรมการแต่อย่างใด เพราะกรรมการไม่ได้เป็นจำเลยในคดีนี้
หากตั้งเป็นสมมุติฐานว่า ความเห็นที่เป็นพลความของศาลเป็นที่น่าเชื่อถือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจรับฟังไปดำเนินการได้ แต่ทั้งนี้ ที่ผ่านมาหน่วยงานอย่าง ป.ป.ช. ก็มีความเห็นว่ากรรมการไม่ได้ร่วมกระทำผิด และอัยการก็ไม่ได้ฟ้อง ที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ จนถึงวันนี้เรื่องนี้ขาดอายุความไปแล้ว
“โดยสรุป ในคดีนี้กรรมการไม่ได้เป็นจำเลย ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายตามที่เป็นข่าวแต่ประการใด”