นายกฯ หัวโต๊ะถกบอร์ดอีวี ไฟเขียวขยายเวลาชดเชยผลิตอีวีถึงปี 69

นายกฯ หัวโต๊ะถกบอร์ดอีวี ไฟเขียวขยายเวลาชดเชยผลิตอีวีถึงปี 69 พร้อมเคาะมาตรการลดภาษีหนุนHEV – MHEV เปลี่ยนผ่านฐานผลิตรถยนต์ไทยสู่อนาคต

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ดอีวีซึ่งมีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้เห็นชอบปรับปรุงเงื่อนไขมาตรการEV3จากเดิมกำหนดให้ต้องผลิตรถยนต์เพื่อชดเชยการนำเข้าในอัตราส่วน1 : 1เท่า (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 1 คัน) ภายในปี2567 หรือ 1:1.5 เท่า ภายในปี2568โดยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายเวลาผลิตชดเชยตามมาตรการEV3ไปผลิตชดเชยภายใต้เงื่อนไขของมาตรการอีวี 3.5 ได้ (ผลิตชดเชย2เท่า ภายในปี2569 หรือ3เท่า ภายในปี2570)โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับการขยายเวลาข้างต้นจะไม่ได้รับเงินอุดหนุน รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าในส่วนที่นำเข้าหรือผลิตภายใต้มาตรการEV3.5ก็จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนเช่นเดียวกัน จนกว่าจะผลิตชดเชยได้ครบตามจำนวนที่ได้รับสิทธิขยายเวลา และอนุญาตให้นำรถยนต์สำเร็จรูป (CBU)ที่นำเข้าภายใต้EV3ที่ยังไม่จำหน่าย ส่งออกไปต่างประเทศโดยไม่นับเป็นยอดที่ผลิตชดเชย

ขณะเดียวกันที่ประชุมยังได้เห็นชอบการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารขนาดที่นั่งไม่เกิน10คน แบบHEVและMHEVซึ่งผลิตในประเทศ ซึ่งเป็นมาตรการเดิมที่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เคยเห็นชอบไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ยังไม่ได้เสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อเห็นชอบ จึงได้เสนอเข้าสู่บอร์ดอีวีเพื่อทบทวนอีกครั้งก่อนเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม. เพื่อพิจารณาต่อไป

1.มาตรการสนับสนุนรถยนต์HEVกำหนดภาษีสรรพสามิตในอัตราคงที่ ตั้งแต่เริ่มใช้โครงสร้างภาษีใหม่ เป็นเวลา 7 ปี (ปี2569 – 2575) ตามมติบอร์ดอีวีเมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2567 โดยมีอัตราและเงื่อนไขการลงทุน ดังนี้

1.1. ต้องมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สูงสุดไม่เกิน 120g/km


– การปล่อยCO2ไม่เกิน 100g/kmกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 6


– การปล่อยCO2ตั้งแต่ 101 – 120g/kmกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 9

1.2. ต้องมีการลงทุนในไทยเพิ่มเติม โดยผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทในเครือไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2567 – 2570

1.3. ต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ โดยต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศตั้งแต่ปี 2569 และต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญอื่น ๆ ตั้งแต่ปี 2571 โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กรณีลงทุนเพิ่มเติม 3,000 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่ถึง 5,000 ล้านบาท จะต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่มีมูลค่าสูงทั้ง 3 ชิ้นเท่านั้น ได้แก่Traction Motor,Reduction Gear,Inverterแต่หากลงทุนเพิ่มเติมตั้งแต่ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป สามารถเลือกใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่มีมูลค่าสูง ร่วมกับกลุ่มมูลค่าปานกลางได้ เช่นBMS,DCU,Regenerative Braking Systemเป็นต้น

1.4. ต้องมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS)อย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ ดังนี้ ระบบเบรกฉุกเฉินขั้นสูง,ระบบเตือนการชนด้านหน้า,ระบบดูแลภายในช่องจราจร,ระบบเตือนการออกหรือเปลี่ยนช่องจราจร,ระบบตรวจจับจุดบอด และระบบควบคุมความเร็ว

2. มาตรการสนับสนุนรถยนต์MHEVซึ่งเป็นรถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า โดยมีแรงดันไฟฟ้าในการขับเคลื่อนต่ำกว่า 60 โวลต์ และอาศัยเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนซึ่งเป็นอีกหนึ่งเซกเมนต์ที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการผลิตในระดับโลกบอร์ดอีวี ได้กำหนดภาษีสรรพสามิตในอัตราคงที่ ตั้งแต่เริ่มใช้โครงสร้างภาษีใหม่ เป็นเวลา 7 ปี (พ.ศ. 2569 – 2575) โดยมีอัตราและเงื่อนไขการลงทุน ดังนี้

2.1. ต้องมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สูงสุดไม่เกิน 120g/km


– การปล่อยCO2ไม่เกิน 100g/kmกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 10


– การปล่อยCO2ตั้งแต่ 101 – 120g/kmกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 12

2.2. ต้องมีการลงทุนในไทยเพิ่มเติม โดยผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทในเครือไม่น้อยกว่า1,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2567 – 2569และไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาทระหว่างปี 2567 – 2571

2.3. ต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ โดยต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศตั้งแต่ปี 2569และต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญ ได้แก่Traction Motorหรือชิ้นส่วนที่มีลักษณะการทำงานเพื่อเสริมแรงขับเคลื่อนตั้งแต่ปี 2571 เป็นต้นไป

2.4. ต้องมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS)อย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ เช่นเดียวกับเงื่อนไขของHEV

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่(BEV)บอร์ดอีวี ได้พิจารณาเรื่อง“การขยายเวลาการผลิตชดเชยตามมาตรการEV3” ซึ่งเป็นข้อเสนอจากกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ให้พิจารณาขยายเวลาเงื่อนไขการผลิตชดเชยสำหรับผู้ผลิตที่ได้รับเงินสนับสนุนตามมาตรการEV3ซึ่งเดิมกำหนดว่าต้องผลิตให้ครบถ้วนตามสัญญาภายในปี 2567-2568 เนื่องจากยอดขายของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศอยู่ในภาวะหดตัว จากปัญหาความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาข้อเสนอการขอขยายเวลาการผ่อนผันให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเขตปลอดอากรหรือเขตประกอบการเสรี ซึ่งต้องใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศมากกว่า40%สามารถนับมูลค่าเซลล์แบตเตอรี่ที่นำเข้าจากต่างประเทศเป็นมูลค่าของชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศได้ไม่เกินร้อยล15จากเดิมที่จะสิ้นสุดในปี 2568 เป็นสิ้นสุดในปี 2570โดยบอร์ดอีวี มีมติไม่อนุมัติให้ขยายเวลามาตรการดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการเร่งให้เกิดการผลิตและใช้ชิ้นส่วนในประเทศ และนโยบายเร่งดึงดูดให้เกิดการลงทุนผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ในประเทศไทย

นายนฤตม์ กล่าวว่าล่าสุดบีโอไอ ได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนโครงการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งการผลิตรถยนต์BEVแบตเตอรี่และชิ้นส่วนสำคัญ รวมทั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า รวมเงินลงทุนกว่า 81,000 ล้านบาท ในส่วนของมาตรการEV3และEV3.5โดยกรมสรรพสามิต มีผู้เข้าร่วมมาตรการจำนวน 26บริษัท คิดเป็นจำนวนยานยนต์ทุกประเภทรวมกันกว่า 133,000 คัน สำหรับยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าแบบBEVในช่วง 10 เดือน (ม.ค.–ต.ค. 2567) มีจำนวน59,746คัน เพิ่มขึ้น 3%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า จดทะเบียน 21,657 คัน เพิ่มขึ้น21%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

คำปฏิเสธ: บทความนี้ทำซ้ำจากสื่ออื่น ๆ วัตถุประสงค์ของการพิมพ์ซ้ำคือการถ่ายทอดข้อมูลเพิ่มเติมไม่ได้หมายความว่าเว็บไซต์นี้เห็นด้วยกับมุมมองและรับผิดชอบต่อความถูกต้องและไม่รับผิดชอบใด ๆ ตามกฎหมาย แหล่งข้อมูลทั้งหมดในเว็บไซต์นี้ได้รับการรวบรวมบนอินเทอร์เน็ตจุดประสงค์ของการแบ่งปันคือเพื่อการเรียนรู้และการอ้างอิงของทุกคนเท่านั้นหากมีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญาโปรดส่งข้อความถึงเรา
©ลิขสิทธิ์ 2009-2020 สถานีย่อยของคนไทย      ติดต่อเรา   SiteMap