R&I คงอันดับความน่าเชื่อถือไทย A- มุมมองความน่าเชื่อถือมีเสถียรภาพ แนะไทยเร่งลงอุตสาหกรรมใหม่ จับตาปัญหาสูงวัย เสถียรภาพการคลัง
นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 68 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เรทติง แอนด์ อินเวสท์เมนท์ อินฟอร์เมชัน หรืออาร์แอนด์ไอ จากประเทศญี่ปุ่น ได้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ เอ- และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย หรือเอาท์ลุค ที่ระดับมีเสถียรภาพ โดยมองว่า เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัว และเศรษฐกิจไทยที่แท้จริงจะโต 2.6% ในปี 67 และขยายตัวต่อเนื่องปี 68 ซึ่งเป็นผลจากการใช้จ่ายภาครัฐ การบริโภคเอกชน และการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
“แม้ว่าการขาดดุลทางการคลังจะยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างสูงที่ 4.3% ในปี 67 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.5% ในปี 68 แต่จะเริ่มทยอยลดลงตั้งแต่ปี 69 จนอยู่ที่ 3% ในปี 72 ส่งผลให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ 63% ในปี 67 โดยอาร์แอนด์ไอ เชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถบริหารจัดการหนี้ไม่ให้เกินกรอบกฎหมายได้ อีกทั้งหนี้ส่วนใหญ่เป็นการออกพันธบัตรรัฐบาลในประเทศ ซึ่งตลาดการเงินยังคงมีสภาพคล่องสูง จึงไม่มีความเสี่ยงด้านแหล่งเงิน ขณะที่ภาคการเงินต่างประเทศ มีความแข็งแกร่งและทุนสำรองระหว่างประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 2.5%”
นายพชร กล่าวว่า อาร์แอนด์ไอ มองว่ารัฐบาลไทยจำเป็นต้องมีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วยการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ พร้อมกับยกระดับมูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ผ่านการลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) รวมถึงมาตรการสนับสนุนการลงทุนที่หลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตในด้านอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และยานยนต์
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ อาร์แอนด์ไอ จะติดตามเพื่อพิจารณาการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยในระยะต่อไป คือ การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงวัยที่อาจจะส่งผลต่อภาระเงินงบประมาณ มาตรการสนับสนุนการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมใหม่ และการยกระดับมูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการรักษาเสถียรภาพทางการคลังประเทศ