พาณิชย์จับมือ 17 หน่วยงาน ตั้งทีม ฉก. เพิ่มปราบสินค้าห่วย-นอมินี ชงงบกลาง 100 ล้าน ดึง กขค. ใช้อำนาจร่วมปราบทุนผูกขาด พร้อมโชว์ผลเก็บ VAT สินค้าพุ่ง 1,500 ล้านบาท–นำเข้าสินค้าออนไลน์ลดเฉลี่ยเดือนละ 3,645 ล้านบาท ลุยกวาดล้างธุรกิจนอมินี 15,121 ล้าน
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ร่วมกับ 17 หน่วยงานภาครัฐ มีมติเห็นชอบให้ตั้งคณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศผิดกฎหมาย เพิ่มเติมอีก 1 ชุด โดยมีร้อยตรีจักรา ยอดมณี รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นหัวหน้าทีม ลงพื้นที่ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า การจดทะเบียนธุรกิจ และธุรกิจนอมินีทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มความเข้มข้นของการปราบปราม
นอกจากนี้ เห็นชอบให้ขยายความร่วมมือกับ สำนักงานการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ในการนำกฎหมายของ กขค.มาบังคับใช้ป้องกันสินค้าต่างชาติทะลักที่จะกระทบผู้ประกอบการไทยด้วย ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจเหนือตลาดอย่างไม่เป็นธรรม กฎหมายร่วมกันกำหนดราคาสินค้า
นายพิชัย กล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบการขอรับการจัดสรรงบกลาง 102 ล้านบาท สำหรับแก้ไขสินค้าไม่มีคุณภาพ โดยอนุมัติตามคำขอของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อจัดตั้งห้องปฏิบัติการด้านอาหารและยา ณ ท่าเรือแหลมฉบังและด่านเชียงของ วงเงิน 101.7 ล้านบาท และอนุมัติสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อเพิ่มศักยภาพการตรวจสอบและเฝ้าระวังการขายสินค้า 1.8 ล้านบาท รวมถึงให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) อีก 5.4 แสนบาท
ขณะเดียวกัน ยังได้รับทราบผลดำเนินการ 2 คณะอนุกรรมการ ได้แก่ คณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับเอสเอ็มอีไทย และแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ กับคณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว พบว่ามีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ 1,500 ล้านบาท จากสินค้านำเข้าต่ำกว่า 1,500 บาท และดำเนินคดีสินค้าผิดกฎหมาย 24,626 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 1,257 ล้านบาท และลดการนำเข้าสินค้าผ่าน อี-คอมเมิร์ซ ลง 8% เฉลี่ยเดือนละ 3,645 ล้านบาท และกวาดล้างธุรกิจนอมินี 851 ราย มูลค่าความเสียหาย 15,121 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมยังไม่พอใจ
ด้านนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า การแต่งตั้งคณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายมี 2 หน้าที่หลัก ได้แก่ การควบคุมสินค้านำเข้า และการตรวจสอบธุรกิจนอมินีของคนต่างด้าว โดยจะดำเนินการควบคุมสินค้านำเข้า เพิ่มการตรวจสอบสินค้าที่เข้าสู่ประเทศไทยจากเดิม 20% เป็น 30% ตรวจสอบแพลตฟอร์มออนไลน์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน เช่น อย. และ มอก. และสินค้าคุณภาพต่ำ
นอกจากนี้ บางส่วนไม่ได้ขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่กระจายอยู่ในตลาดทั่วไปต้องเพิ่มการตรวจสอบออฟไลน์ให้ครอบคลุม และสำหรับการตรวจสอบธุรกิจนอมินีของคนต่างด้าว จะเน้นตรวจสอบเอกสารการถือหุ้นและรูปแบบการดำเนินธุรกิจของชาวต่างชาติ ที่บางกรณีพบว่าธุรกิจของชาวต่างชาติอาจจดทะเบียนในชื่อคนไทยทั้งหมด ทำให้ตรวจสอบได้ยาก และบางธุรกิจจดทะเบียนในจังหวัดหนึ่งแต่ดำเนินการจริงในอีกจังหวัด ซึ่งต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
ขณะเดียวกัน ธุรกิจบางประเภทเข้าข่ายเป็นธุรกิจต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าว จึงต้องตรวจสอบอย่างละเอียด ทำให้คณะทำงานชุดนี้จะต้องลงพื้นที่ตรวจสอบทั้งสินค้านำเข้าและธุรกิจนอมินีควบคู่กันโดยทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย เพื่อให้การตรวจสอบครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด