เปิดปมร้าวศึกสายเลือด ‘ดุสิตธานี‘ จากแบ่งมรดกเท่าๆกันไม่ได้แปลว่ายุติธรรม สู่ธุรกิจในตลาดหุ้นระส่ำ
ยัง “ดราม่า” กันไม่จบ! สำหรับปัญหาศึกสายเลือดของกลุ่มทายาท “ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย” ผู้ก่อตั้ง “ดุสิตธานี” โรงแรมเก่าแก่อายุเกือบ 80 ปี ของไทย ที่ถึงจุดแตกหักใน 3 คนพี่น้อง คือ ชนินทธ์,สินี และ สุนงค์
จนส่งงบการเงินไตรมาส 1 ปี 2568 ของ บมจ.ดุสิตธานี ไม่ทัน และเกือบจะโดนขึ้นเครื่องหมาย SP
ว่ากันว่า…จุดเริ่มต้นเรื่องนี้เกิดจากผลการดำเนินงานของดุสิต ในช่วงที่ผ่านมาที่ไม่เป็นที่น่าพอใจ ขาดทุนต่อเนื่อง 5 ปี และระยะหลังมานี้ไม่มีการปันผลหุ้น ซึ่งผู้ที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบก็คือ“ชนินทธ์”ในฐานะรองประธานกรรมการบริษัท
ส่งผลให้ ชนินทธ์ ถูกโหวตออกจากตำแหน่งกรรมการ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของดุสิตธานี ด้วยสัดส่วน 49.74% พร้อมแต่งตั้งให้ คือ“ภัทร สาลีรัฐวิภาค”และ“ลลิตา เธียรประสิทธิ์”ซึ่งมาจากตระกูลของน้องสาวทั้ง 2 คน เข้ามาเป็นกรรมการใหม่
จนกระทั่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ตัดสินใจโหวตไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 ในการประชุมผู้ถือหุ้นของ ดุสิต เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา ทั้งที่ผ่านการตรวจสอบ และลงนามรับรองโดยผู้สอบบัญชีแล้ว จนทำให้บริษัทไม่สามารถส่งงบไตรมาส 1 ปี 2568 ได้ทันตามกำหนด
แต่จนแล้วจนรอด คณะกรรมการบริษัทก็ดิ้นจนสามารถยื่นงบการเงินได้ภายในวันที่ 15 พ.ค. 2568 ทำให้รอดพ้นจากเครื่องหมาย SP ของตลาดหลักทรัพย์ฯ
ขณะที่การประชุมเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา ยังได้อนุมัติแต่งตั้งผู้ตรวจสอบบัญชีประจำปี 2568 เป็นที่เรียบร้อย
สำหรับปัญหาเรื่องนี้ นอกเหนือจากผลประกอบการของดุสิตที่ขาดทุนต่อเนื่องแล้ว คาดว่าเกิดจากการแบ่งสันปันส่วนหุ้นของพี่น้องทั้ง 3 คน ที่ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย แบ่งให้ใกล้เคียงกัน คือ
กลุ่มตระกูลโทณวณิก ถือหุ้นรวม 26.66% โดย ชนินทธ์ โทณวณิก บุตรชายคนโต ถือหุ้น 25.40% ส่วนที่เหลือเป็นของณัฐพร ศิรินันท์ และ ศิรเดช โทณวณิก ถือคนละ 0.42%กลุ่มตระกูลเธียรประสิทธิ์ ถือหุ้นรวม 26.65% โดย สินี เธียรประสิทธิ์ บุตรสาวคนกลาง ถือหุ้น 26.57% ส่วนที่เหลือเป็นของณัฐสิทธิ พัฒนีพร ลลิตา และ ภมรศักดิ์ เธียรประสิทธิ์กลุ่มตระกูลสาลีรัฐวิภาค ถือหุ้นรวม 21.68% โดย สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค บุตรสาวคนเล็ก ถือหุ้น 21.62% ที่เหลือเป็นของชลิตา ภัทรพรรณ ภัทรพร และ ภัทร สาลีรัฐวิภาคและที่เหลืออีก 24.99% เป็นสัดส่วนของกองมรดกของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย
ทั้งนี้ จากบทวิเคราะห์ของออสสิริ โกลด์กล่าวว่า เรื่องมรดกเป็นเรื่องที่ครอบครัวส่วนใหญ่จะไม่พูดกันไม่ว่าจะด้วยเรื่อง“ถือ”ว่าจะเป็นลางไม่ดีเพราะการแบ่งมรดกก็อาจจะหมายถึงตัวคนเป็นพ่อแม่จะ“ไม่อยู่”แล้วหรือจะด้วยความกังวลว่าหากพูดเรื่องนี้ไปเดี๋ยวลูกๆหรือพี่น้องก็จะเกิดความแตกแยกคลางแคลงใจบาดหมางกัน
แต่ถ้าว่ากันด้วยหลักเหตุผลเรื่องมรดกและการส่งต่อทรัพย์สินโดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวที่มีลูกมากกว่า1คนควรมีการพูดคุยตกลงตั้งแต่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่และทางที่ดีที่สุดคือไม่ควรพูดปากเปล่าควรจัดการให้เป็นลายลักษณ์อักษรมีผลทางกฎหมายไว้เลยเพราะการจัดการไว้ก่อนถึงแม้จะเกิดความไม่ลงตัวเกิดขึ้นก็ยังมีพ่อแม่เป็นผู้อธิบายเหตุผลไกล่เกลี่ยหรือยังเป็นที่เคารพเกรงใจของลูกๆได้อยู่
นอกจากหลักความยุติธรรมแล้วก็ยังต้องพิจารณาช่วงเวลาหรือความช้าเร็วก็ต้องพิจารณาถึงวุฒิภาวะของลูกๆนิสัยใจคอความรู้ความสามารถในการดูแลทรัพย์สินภาระหน้าที่ในการดูแลกิจการหรือสินทรัพย์ต่อความยุติธรรมในที่นี้จึงไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะได้“เท่ากัน”แต่อาจจะหมายถึงได้อย่าง“เหมาะสม”ก็ได้