นักเศรษฐศาสตร์ชี้โอกาสของไทย ภาษีทรัมป์ 19% แข่งขันได้ เปิดข้อควรระวัง

นักเศรษฐศาสตร์ชี้โอกาสของไทย ภาษีทรัมป์ 19% ใกล้เคียงเพื่อนบ้าน สามารถแข่งขันได้ เปิดข้อควรระวัง

วันที่ 1 ส.ค. นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ภาษีทรัมป์จบที่ 19% เศรษฐกิจไทยน่าจะรอดภาวะถดถอยทางเทคนิค แต่ยังเสี่ยงโตต่ำครึ่งปีหลัง ระวังสินค้าจีนทะลัก และสหรัฐกีดกันจีนในห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค เร่งหามาตรการเยียวยา SME และผู้ได้รับผลกระทบ

ไทยบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐได้ทันวันที่​ 1 ส.ค. โดยไทยลดอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐลงเหลือ 0% ในสินค้าส่วนใหญ่ แม้ไม่ใช่ทุกรายการเหมือนที่เวียดนามและอินโดนีเซียให้สหรัฐ และไทยน่าเจรจานำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น และวางแผนระยะยาวในการลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ พร้อมเปิดตลาดภาคบริการและการลงทุนให้บริษัทสัญชาติอเมริกันมากขึ้น จนภาษีนำเข้าที่สหรัฐจัดเก็บกับไทยเหลือเพียง 19% ลดลงจาก 36% แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

โอกาสของไทยภายใต้ภาษีสหรัฐที่ต่ำลงเทียบเคียงเพื่อนบ้าน

1.ส่งออกไทยหดตัวน้อยกว่าคาด

ไทยน่าได้เปรียบจากอัตราภาษีที่ต่ำลงจนใกล้เคียงกับเพื่อนบ้าน ทำให้สินค้าไทย “พอจะแข่งขันได้มากขึ้น”

สินค้าที่พอจะแข่งขันได้: อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางรถยนต์ อาหารแปรรูป ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ

แต่ถึงอย่างไร การเติบโตด้านส่งออกของไทย น่าจะหดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะสหรัฐจะลดการนำเข้าโดยรวม (จากการเร่งสต๊อกล่วงหน้า + เศรษฐกิจชะลอจากเงินเฟ้อที่จะขยับขึ้น) ซึ่งจะทำให้ภาคการผลิตของไทยชะลอ การจ้างงาน ชั่วโมงการทำงานและการบริโภคเสี่ยงขยายตัวต่ำในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ข่าวดีคือ ยังน่าพอประคองตัวได้ ไม่หดตัวเช่นกรณีถูกจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูง

2.ลดความเสี่ยงจากการ “สวมสิทธิ” ส่งออก

ภาษีสหรัฐที่เข้มงวดทำให้ transshipment (การลักลอบใช้สิทธิไทย) ลดลง เพราะจะโดนภาษีเพิ่มอีก​ 40%

แต่ไทยต้องระวัง: สินค้าที่มี import content สูง อาจถูกมองว่าไม่ได้ผลิตจริงในไทย

ทางแก้: เร่งสร้างฐานการผลิตในสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูง เน้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ พวกเซมิคอนดักเตอร์

3.การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) อาจเพิ่ม

นักลงทุนย้ายฐานจากจีน มาสู่ไทย ไม่ต้องแย่งเวียดนาม อินโดนีเซีย มากนัก

สินค้าเป้าหมาย: กลุ่มที่ถูกเก็บภาษีพอๆ กัน และเน้นตลาดส่งออกไปสหรัฐ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า,แบตเตอรี่,ชิ้นส่วนยานยนต์ ฯลฯ

“อย่าลืมว่าผู้ประกอบการไทยจะได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลงจากอัตราภาษีที่ไทยเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐที่ลดลง เช่น ยาและเวชภัณท์ ผลิตภัณท์อาหาร และอาหารสัตว์ ข้าวโพด ถั่วเหลือง และอื่นๆ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการลงทุนในกลุ่มนี้”

ข้อควรระวัง: ไทยยังเสียเปรียบด้านโครงสร้างต้นทุน เช่น ค่าแรงสูง ค่าไฟแพง กฎระเบียบซ้ำซ้อน พยายามสร้างจุดขายพวก ESG พลังงานทดแทน

4.นโยบายการคลังควรเน้นประคองเศรษฐกิจ ช่วยภาคที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนนำเข้าสูง เช่น ภาคเกษตรบางกลุ่ม อุตสาหกรรมที่ไทยลดภาษีนำเข้า อาจต้องมี มาตรการเยียวยาแรงงาน​ หรือ กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ

5.นโยบายการเงินยังผ่อนคลายได้

เงินเฟ้อต่ำ เปิดทางให้ดอกเบี้ยลดต่ำต่อไปได้

เศรษฐกิจโตช้า เพิ่มสภาพคล่อง เร่งการปล่อยสินเชื่อ

ภาคท่องเที่ยวยังอ่อนแรง เสริมความจำเป็นต้องกระตุ้นต่อ

6.บาทอาจแข็งค่าจากความเชื่อมั่น

นักลงทุนมองว่าไทย “เสี่ยงต่ำ” กว่าเวียดนาม อินโดฯ ส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้าตลาดทุนไทยมากขึ้น แต่ต้องคุมไม่ให้บาทแข็งเกินไป จนกระทบผู้ส่งออก

7.GDP ไทยรอดภาวะถดถอยทางเทคนิค

แม้เศรษฐกิจไม่หดตัวแรง แต่การเติบโตยังต่ำในมุมไตรมาสต่อไตรมาสความหวังอยู่ที่: ครึ่งหลังของปีหน้า (H2/2026) หากส่งออก-ลงทุนฟื้น และการบริโภคภายในประเทศกลับมาแข็งแรง

แม้จะไม่ได้บูมเต็มตัว แต่ “ภาษีต่ำลง” เปิดโอกาสให้ไทย รอดได้พร้อมๆ เพื่อนบ้าน ในสภาวะที่สหรัฐกีดกันการค้าเข้มขึ้น แต่ให้จับตาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่อาจยังไม่จบ จนไทยโดนผลกระทบทางอ้อมได้ เช่นนักท่องเที่ยวจีนขยายตัวต่ำ หรือลดลงจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่เปราะบางมากขึ้น

จุดแข็งที่ต้องเร่งต่อยอด: พัฒนาห่วงโซ่การผลิตในประเทศ ปรับต้นทุนธุรกิจให้แข่งขันได้ ใช้นโยบายการคลัง-การเงินอย่างแม่นยำ

คำปฏิเสธ: บทความนี้ทำซ้ำจากสื่ออื่น ๆ วัตถุประสงค์ของการพิมพ์ซ้ำคือการถ่ายทอดข้อมูลเพิ่มเติมไม่ได้หมายความว่าเว็บไซต์นี้เห็นด้วยกับมุมมองและรับผิดชอบต่อความถูกต้องและไม่รับผิดชอบใด ๆ ตามกฎหมาย แหล่งข้อมูลทั้งหมดในเว็บไซต์นี้ได้รับการรวบรวมบนอินเทอร์เน็ตจุดประสงค์ของการแบ่งปันคือเพื่อการเรียนรู้และการอ้างอิงของทุกคนเท่านั้นหากมีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญาโปรดส่งข้อความถึงเรา
©ลิขสิทธิ์ 2009-2020 สถานีย่อยของคนไทย      ติดต่อเรา   SiteMap