คณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ เห็นชอบโอนงบกระตุ้นที่เหลือ 2.5 หมื่นล้าน กลับเข้าสู่งบกลางเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินจำเป็น
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า คณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีรักษาการนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นประธาน มีมติให้โอนงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลืออยู่ 2.6 หมื่นล้านบาท เข้างบกลาง เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินจำเป็น โดยให้ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณไปจัดการงบที่เหลือดังกล่าว
ทั้งนี้ แนวทางการใช้งบประมาณที่เหลือ มีหลายแนวทาง ไม่ว่าจะเป็นการลดผลกระทบจากมาตรการภาษีทรัมป์ การช่วยเหลือลูกค้า ธ.ก.ส. และออมสิน หรือการช่วยเหลือเกษตรกรตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม แต่มีเงื่อนไขจะต้องมีการใช้งบภายใน ก.ย. นี้ สำหรับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ ซึ่งไทยได้รับในอัตรา 19% เท่ากับประเทศในภูมิภาคนี้ ทำให้สถานะการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐไม่เสียเปรียบคู่แข่งขัน แต่อาจมีปัญหาผลกระทบในบางกลุ่มเท่านั้น
ส่วนผลการใช้จ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้อนุมัติไปแล้ว 2 เฟส มีการทำสัญญาผูกพันแล้วเกินกว่า 50% ของงบที่อนุมัติ นอกจากนี้มีบางหน่วยงานที่ได้รับงบนี้ไป แต่ได้ขอคืนมาจำนวนหนึ่งด้วย
อนึ่ง รัฐบาลกำหนดงบกระตุ้นเศรษฐกิจในปีงบประมาณ 68 ในวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ครม. เมื่อ 24 มิ.ย. ได้อนุมัติใช้วงเงินนี้ในเฟสที่ 1 ในวงเงิน 1.15 แสนล้านบาท เพื่อใช้ใน 481โครงการ คิดเป็นจำนวนรายการ 8,939 รายการ เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว พัฒนาภาคการเกษตรและเศรษฐกิจชุมชน เป็นต้น ส่วนของเฟสที่สอง ครม. เมื่อ 6 ส.ค. ได้อนุมัติให้ใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.8 หมื่นล้านบาท โดยนำไปใส่ในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบีโอไอ วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท และให้กับ กยศ. 8.4 พันล้านบาท เพื่อให้นักเรียนนักศึกษากู้